
สิวที่หลัง ปัญหาผิวที่หลายคนกังวลใจ เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการแต่งตัว โดยเฉพาะเมื่ออยากใส่เสื้อเปิดหลังหรือเสื้อกล้าม แต่กลับต้องคอยหลบซ่อน เพราะไม่มั่นใจกับรอยสิวหรือผิวที่ไม่เรียบเนียน หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาสิวที่บริเวณแผ่นหลัง และยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นดูแลอย่างไรดี บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสาเหตุ และแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางก่อนปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินและวางแผนการดูแลให้ตรงกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
-
- สาเหตุของการเกิดสิวขึ้นที่หลัง
-
- สิวที่หลังแบบไหนเหมาะกับการรักษาด้วยตัวเอง
-
- ยาตัวไหนที่สามารถซื้อมาทาสิวที่หลังได้ด้วยตัวเอง
-
- 7 วิธีรักษา สิวที่หลัง แบบฉบับคุณหมอแนะนำ
สาเหตุของการเกิดสิวที่ขึ้นบริเวณหลัง

สิวที่หลังมีสาเหตุคล้ายกับสิวบนใบหน้า โดยเริ่มต้นจากกระบวนการทำงานของ ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตน้ำมันตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า ซีบัม (Sebum) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและป้องกันการแห้งกร้าน
แต่เมื่อมี เซลล์ผิวที่ตายแล้ว ผสมกับซีบัมและไปอุดตันรูขุมขน การระบายออกของน้ำมันจะถูกขัดขวาง จนทำให้เกิดตุ่มสิวเล็ก ๆ ตามมาได้
หากปล่อยไว้โดยไม่มีการดูแล อาจนำไปสู่:
-
สิวอุดตัน (Comedones)
-
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
-
การติดเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไปบนผิวหนัง และอาจทำให้สิวกลายเป็นตุ่มแดงหรือมีหนองในบางราย
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว นอกจากปัญหาการอุดตันรูขุมขนแล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวที่หลัง ดังนี้:
ปัจจัยภายในร่างกาย
-
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น วัยรุ่น, รอบเดือน, หรือในผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
-
ความเครียด ส่งผลต่อฮอร์โมนและอาจกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น
-
พันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวง่าย ก็อาจมีแนวโน้มเกิดสิวที่หลังได้เช่นกัน
-
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดหรือยาที่มีสเตียรอยด์
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม
-
เหงื่อและความอับชื้น โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย หากไม่รีบทำความสะอาดผิว
-
เสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี หรือเสื้อผ้าที่เสียดสีกับผิว เช่น เสื้อในแน่นหรือเป้สะพายหลัง
-
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือสบู่ที่อุดตันรูขุมขน
-
อาหารที่มีน้ำตาลสูง หรืออาหารไขมันสูงบางประเภท อาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ
ลักษณะของสิวที่สามารถดูแลเองเบื้องต้นได้

หากคุณกำลังสงสัยว่า สิวที่หลังแบบไหนสามารถดูแลเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ในทันที คำตอบคือ “สิวในระดับเล็กน้อย ประมาณ 10 จุด” ซึ่งยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออาการอักเสบรุนแรง
สิวที่เหมาะกับการดูแลด้วยตัวเอง ควรมีลักษณะดังนี้:
-
เป็น สิวอุดตันชนิดไม่อักเสบ เช่น สิวหัวขาว (whiteheads) หรือหัวดำ (blackheads)
-
มี สิวอักเสบเล็กน้อย เป็นเพียงตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเล็ก
-
ปริมาณไม่มาก: ไม่เกิน 10 จุด บริเวณแผ่นหลัง
-
ไม่มี สิวก้อนลึกหรือมีหนองปนเลือด ที่บ่งชี้ถึงการอักเสบในระดับรุนแรง
-
ไม่มีอาการปวด บวม หรือเจ็บอย่างต่อเนื่อง
สิวประเภทนี้มักเกิดจากรูขุมขนอุดตัน และสามารถปรับพฤติกรรมการดูแลผิวร่วมกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในการดูแลเบื้องต้นได้
ลักษณะสิวที่ควรปรึกษาแพทย์

ถึงแม้สิวบางประเภทสามารถดูแลได้เองในช่วงเริ่มต้น แต่หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์
– สิวอักเสบเรื้อรัง ปริมาณมากกว่า 10 จุด
– สิวก้อนแข็งใต้ผิวหนัง หรือมีหนองขนาดใหญ่
– มีอาการปวดหรือแสบร้อนที่ผิวหนัง
– มีแผลเป็นหรือจุดด่างดำหลังสิว
*หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลสิวเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ หากคุณมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจดูแลหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ
ยาทารักษาสิวที่หลัง ที่สามารถใช้เองได้เบื้องต้น

การดูแล สิวที่หลัง ด้วยตัวเองในระยะแรกเริ่ม เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดการลุกลามของสิวและป้องกันรอยแผลเป็นได้ หากเป็นสิวที่ไม่รุนแรงมาก เช่น สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบขนาดเล็ก ไม่เกิน 10 จุด
สิ่งสำคัญคือ ควร หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือเกา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ลุกลาม และนำไปสู่ ปัญหารอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวในอนาคต
ยาทาสิวที่สามารถใช้เองได้ทั่วไป:
1. เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
เป็นสารที่ช่วยลดแบคทีเรียบนผิวหนัง และช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน เหมาะสำหรับสิวอักเสบหรือตุ่มหนองขนาดเล็ก
- มีให้เลือกหลายความเข้มข้น เช่น 2.5%, 5%
- เหมาะสำหรับผู้มีผิวแห้ง: ใช้ที่ความเข้มข้นต่ำ
- หากผิวมันหรือมีแนวโน้มเป็นสิวมาก: ความเข้มข้น 5% อาจเหมาะสมกว่า
วิธีใช้: สามารถใช้แบบล้างออก โดยทาทิ้งไว้ประมาณ 2–5 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด
ข้อควรระวัง: อาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ โดยเฉพาะหากใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอื่น ๆ
2. เรตินอยด์ (Retinoid)
กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ ที่ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และต้านการอักเสบ
- ช่วยให้สิวอุดตันค่อย ๆ หลุดออก
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอุดตัน หรือมีสิวซ้ำที่จุดเดิมบ่อย
- มักใช้ตอนกลางคืน เพราะไวต่อแสง
- เมื่อใช้ร่วมกับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ จะช่วยเสริมฤทธิ์กันและกัน
ข้อควรระวัง: ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และหลีกเลี่ยงบริเวณผิวบาง เพราะอาจระคายเคืองได้ในช่วงแรก
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ควรทดลองใช้ในปริมาณน้อยก่อน และสังเกตอาการของผิว
- หากมีอาการระคายเคืองหรืออาการแย่ลง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
- ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงควรเลือกจาก ร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต และ มีฉลากภาษาไทยชัดเจน
7 วิธีรักษาสิวที่หลัง ที่คุณหมอแนะนำ

การดูแลสิวที่หลังไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเราเริ่มต้นจากการ ใส่ใจพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และเรียนรู้ว่าอะไรคือปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิว เช่น การใส่เสื้อผ้ารัดแน่น เหงื่อที่ค้างอยู่บนผิว หรือผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อาจอุดตันรูขุมขนโดยไม่รู้ตัว
หากพบว่ามีสิวเพียงเล็กน้อย ควร เริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและปรับพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อช่วยลดโอกาสการอักเสบหรือการลุกลามของสิว
1. รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อมีเหงื่อออก
หลังการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก ควรรีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด เพราะเหงื่อที่สะสมบนผิวและเสื้อผ้าอาจเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้ เลือกใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย หรือผ้าซับเหงื่อ และซักชุดออกกำลังกายหลังใช้งานทุกครั้ง
2. ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน
หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรืออักเสบมากขึ้น แนะนำให้ล้างผิวด้วยมือเบา ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
3. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว
สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย สครับที่มีเม็ดหยาบ ใยบวบ หรือแปรงขัดผิวอาจทำให้ผิวหลังอักเสบมากกว่าเดิม เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ และระบุว่าเหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิว
4. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่อุดตันรูขุมขน
ใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท Non-Comedogenic หรือ Oil-Free ซึ่งออกแบบมาเพื่อไม่ให้รูขุมขนอุดตัน เหมาะสำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย และสามารถใช้ได้ทั้งครีมกันแดด โลชั่นบำรุง หรือคลีนเซอร์
5. หลีกเลี่ยงการเสียดสีที่แผ่นหลัง
การสะพายกระเป๋าเป้ หรือเสื้อผ้าที่เสียดสีกับผิว อาจทำให้สิวที่หลังระคายเคืองมากขึ้น ควรเลือกใช้กระเป๋าถือ หรือเป้ที่มีฟองน้ำรองหลัง และหลีกเลี่ยงการใช้นานในช่วงที่สิวกำเริบ
6. ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสม
รังสียูวีสามารถกระตุ้นให้สิวดูคล้ำลง และทำให้เกิดรอยดำหลังสิวได้ง่ายขึ้น เลือกใช้ครีมกันแดดชนิด ปราศจากน้ำมันและไม่อุดตันรูขุมขน และล้างออกให้สะอาดในตอนเย็น
7. ปรึกษาแพทย์เมื่อสิวหนักขึ้น
หากสิวที่หลังเป็นจำนวนมาก เป็นก้อนลึก หรือมีอาการอักเสบรุนแรง ควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ แพทย์จะช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะกับลักษณะผิวของคุณ เช่น การใช้ยา การทำหัตถการเฉพาะ หรือแนะนำโปรแกรมการดูแลเพิ่มเติม
ข้อดีของการดูแลสิวที่หลังกับแพทย์

- ได้รับการวินิจฉัยและวางแผนการดูแลรักษาสิวที่เหมาะสมกับลักษณะสิวของแต่ละบุคคล
- แนวทางการดูแลอาจรวมถึงการใช้ยาเฉพาะทาง การทายา หรือหัตถการที่เหมาะสม เช่น โปรแกรมเลเซอร์บำรุงผิว
- การรักษาอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์
- ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือแนวทางที่ไม่เหมาะสม
แม้สิวที่หลังจะเป็นบริเวณที่ไม่เห็นชัดในชีวิตประจำวัน
แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหานี้ ความไม่สบายใจหรือความกังวลก็สามารถกระทบต่อความมั่นใจได้ไม่น้อย หากเริ่มต้นดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหรือระดับเล็กน้อย โอกาสการควบคุมอาการไม่ให้ลุกลามย่อมมีมากขึ้น และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นในอนาคต
อยากเริ่มต้นดูแลรักษาสิว? ปรึกษาเราได้เลย
-
ดูข้อมูลโปรแกรม: bslclinic.co.th/acne-treatment
-
LINE Official: @bslclinic (มี @ ข้างหน้า)
- โทรสอบถาม: 099-343-8666